สุภาวดี  สังเกตว่าที่ดินที่ใช้ทำนานั้นเป็นที่ลุ่ม  น้ำจึงท่วมขังอยู่เป็นประจำ  ทำให้ผลผลิตข้าวน้อย  ประกอบกับประสบกับปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย  เช่น ราคาพืชผลไม่แน่นอน ศัตรูพืชระบาด ปัจจัยการผลิตมีราคาแพง เป็นเหตุให้ต้นทุนการผลิตสูง มีรายได้ไม่แน่นอน ดินเสื่อมความสมบูรณ์ จึงคิดหาวิธีแก้ปัญหาต่างๆ ดังกล่าว  ประกอบกับในปี พ.ศ.2537  ทางราชการได้จัดทำโครงการปรับโครงสร้างระบบการผลิตทางการเกษตร (คปร.)  และคุณลุงได้มอบที่ดินให้จำนวน  1  แปลง  พื้นที่ 10  ไร่  รวมกับของเดิมทำให้พื้นที่ทำการเกษตรของสุภาวดีเป็นทั้งหมด  30  ไร่  

ซึ่งเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรพิจารณาแล้ว  เห็นว่ามีความเหมาะสมต่อการจัดทำแปลงไร่นาสวนผสม   จึงได้เข้าร่วมโครงการโดยได้รับการสนับสนุนปัจจัยการผลิต  และสินเชื่อ  มีการปรับสภาพพื้นที่เน้นร่องสวน  ปลูกไม้ผล  พืชผัก  เลี้ยงสัตว์ปีก  และการเลี้ยงปลาในร่องสวน  ทั้งนี้  สามี  และลูกชายคนโต  ก็เป็นกำลังหลักในการช่วยทำงานด้วย    

การประกอบอาชีพ  และงานที่ภาคภูมิใจ

ปัจจุบันได้ทำการเกษตรแบบไร่นาสวนผสม  ได้แก่  ปลูกข้าวพันธุ์ชัยนาท โดยวิธีหว่านน้ำตม  ได้ผลผลิตเฉลี่ย 1,000  กก.  ต่อไร่ ไว้สำหรับจำหน่ายและบริโภคในครัวเรือน  ปลูกปอเทืองหลังนา   เป็นปุ๋ยพืชสด เพื่อปรับปรุงบำรุงดิน ปลูกไม้ผล  ไม้ยืนต้น  ตามร่องสวนและพื้นที่ว่าง  เลี้ยงสัตว์ปีก เพาะพันธุ์ไก่พื้นเมือง และไก่ชน  เลี้ยงสัตว์น้ำ ในร่องสวน ปลานิล ปลาตะเพียน ปลาดุก  โดยกิจกรรมทั้งหมดนี้จะคำนึงถึงความปลอดภัยต่อผู้บริโภคและรักษาสภาพแวดล้อมเป็นสิ่งสำคัญประการแรก     คือในช่วงแรกของการเริ่มโครงการจะลดการใช้สารเคมี   และในปัจจุบันเลิกใช้สารเคมีในการป้องกันกำจัดศัตรูพืชแล้ว  และหันมาทำการเกษตรตามระบบเกษตรอินทรีย์โดยไม่ใช้สารเคมี  100  เปอร์เซ็นต์แต่ใช้สารสกัดจากธรรมชาติ  และสมุนไพรต่างๆ แทน  ซึงจะช่วยลดต้นทุนในการผลิตอีกทางหนึ่งด้วย

  สำหรับปัญหาในการทำไร่นาสวนผสมนั้นคือจำเป็นต้องมีการขุดคู  ยกร่อง จึงเป็นปัญหาในเรื่องของเงินลงทุนจึงจำเป็นต้องกู้จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร  

สิ่งที่ภาคภูมิใจก็คือการเป็นเกษตรกรคนแรกในตำบลบางเค็ม ที่ปรับเปลี่ยนพื้นที่นาเป็นร่องสวนแบบไร่นาสวนผสม  และใช้ผลผลิตที่เสียหายและเหลือใช้จากสวนไม้ผลต่างๆ มาทำเป็นปุ๋ยหมักน้ำชีวภาพ  สำหรับใช้กับพืชผักและไม้ผลต่างๆ แทนการใช้สารเคมี  รวมถึงได้มีการปลูกหญ้าแฝกบนคันร่องเลี้ยงปลาเพื่อกันหน้าดินพังทลายและเป็นการช่วยรักษาความชุ่มชื้นของดินอีกด้วย

สำหรับสุภาวดีผลที่ได้รับกับคืนมานอกจากร่างกายที่แข็งแรงขึ้นแล้ว  รายได้จากการทำไร่นาสวนผสมนั้นยังมากกว่ารายได้จากการทำนาเพียงอย่างเดียวอีกหลายเท่าตัว  ยังไม่นับถึงการที่ทำให้ผืนดินที่เคยขาดความอุดมสมบูรณ์จากการทำนา   กลับมาเป็นผืนดินที่มีความอุดมสมบูรณ์จากการทำเกษตรอินทรีย์  พิสูจน์ได้จากมะพร้าวน้ำหอมจากสวนของสุภาวดี  จะต้องได้รับรางวัลจากการประกวดในงานพระนครคีรีทุกปี   จนได้รับคัดเลือกให้รับรางวัลเกษตรกรดีเด่นสาขาไร่นาสวนผสม ระดับจังหวัด จากสำนักงานเกษตรจังหวัดเพชรบุรี  ระดับเขตประจำปี 2547  จากสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 2  จังหวัดราชบุรี  ได้รับโล่รางวัลพระราชทานเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ  สาขาไร่นาสวนผสม ปี 2548

ความรู้ที่จำเป็นในการทำงาน               

 แม้จะเรียนจบเพียงแค่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6  แต่สุภาวดีก็หมั่นศึกษาหาความรู้ที่จำเป็นในการทำงานเพิ่มเติมอยู่เสมอโดยศึกษาจาก  เอกสาร  ตำรา  การศึกษาดูงาน  หรือจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับนักวิชาการส่งเสริมการเกษตร  เช่น  ความรู้ในการทำไร่นาสวนผสม  การปลูกพืช  การเลี้ยงสัตว์  การจัดการผลผลิตและการตลาด  การทำการเกษตรอินทรีย์  การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม  เป็นต้น   

สุภาวดีก็ยังนำความรู้นั้นไปถ่ายทอดให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น  โดย  การเป็นวิทยากรบรรยายจุดสาธิต  และศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรเรื่องการทำไร่นาสวนผสม  การใช้สารชีวภัณฑ์ ในการป้องกันกำจัดศัตรูพืชและการใช้ปุ๋ยชีวภาพกับพืช การรักษาสิ่งแวดล้อมแบบธรรมชาติ  เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มรายได้เป็นต้น               

 นอกจากนั้นยังได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่หมอดินอาสาประจำตำบล  เกษตรหมู่บ้าน หมู่ 2  ตำบลบางน้ำเค็ม  และอาสาสมัครสาธารณ สุขประจำหมู่บ้านและแพทย์ประจำตำบล

หลักคิดในการดำรงชีวิต  "ดำเนินการตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  การทำเกษตรทฤษฏีใหม่ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง” 

หลักคิดในการประกอบอาชีพการเกษตร "การทำกิจกรรมทางเกษตรที่มีความหลากหลาย  ทั้งการปลูกไม้ผล  พืชผัก  เลี้ยงปลา  และเลี้ยงสัตว์ควบคู่กันไปทำให้ช่วยครอบครัวและฐานะความเป็นอยู่ของครอบครัวดีขึ้น  และมีความยั่งยืนในการประกอบอาชีพการเกษตร”" ไม่ใช้สารเคมี  มีรายได้ตลอดปี  ใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์คุ้มค่า” 

ประเด็นสำคัญในการเรียนรู้สู่ความสำเร็จ               

ในการดำเนินกิจกรรมดังกล่าวให้เกิดความสำเร็จ  มีปัจจัยสำคัญ  ดังนี้

1.     สนใจ  ศึกษา  ค้นคว้า  และทดลองปฏิบัติ

2.     ปลูกพืชหลายชนิดเพื่อลดความเสี่ยงต่อความแปรปรวนของราคาผลผลิตและเพิ่มมูลค่าโดยการแปรรูปผลผลิต

3.      ผลผลิตที่เหลือใช้ในไร่นามีคุณค่า  นำมาทำเป็นปุ๋ยชีวภาพทดแทนการใช้สารเคมี  

และช่วยลดต้นทุนในการผลิต

4.      ถ้าสภาพแวดล้อมในแปลงดี  ผลผลิตที่ได้ก็จะเพิ่มขึ้น

5.      ต่อยอดความรู้โดยการเป็นวิทยากร  ถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนเรียนรู้แก่ผู้ที่สนใจ

ชื่อ – นามสกุล  นางสุภาวดี      ปิยนุสรณ์   เลขประจำตัวประชาชน 3-7602-00250-26-2  ปัจจุบันอายุ  48   ปี

วัน เดือน ปีเกิด 22  มิถุนายน 2509 ที่อยปัจจุบัน  บ้านเลขที่ 55  หมู่ที่ 2 ตำบลบางเค็ม อำเภอเขาย้อย จังหวัดพชรบุรี  76140   เบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อ  085-427-9422  การศึกษาสูงสุดระดับ  ประถมศึกษาปีที่  6  จากสถานศึกษาโรงเรียนวัดโพธิ์ สถานภาพ    สมรสกับ    นายเกยูร    ปิยนุสรณ์    อายุ   55   ปี   มีบุตรจำนวน  2  คน  ตามลำดับดังนี้               1.  นายภาณุพิชญ์  ปิยนุสรณ์   อายุ  28  ปี    ศึกษาระดับ ปริญญาตรี                                                               

2.  นายวีรพัศ  ปิยนุสรณ์    อายุ  26  ปี   ศึกษาระดับ ปวส.แรงงานในการทำการเกษตร    3   คน (แรงงานในครัวเรือน)..แหล่งข้อมูล   จากกรมส่งเสริมการเกษตร